บทที่ 5 ทำสิ่งใดได้บ้าง

“ได้ยินสิ่งที่ข้าเอ่ยหรือไม่”

นางไม่อยากทำให้เขาเสียอารมณ์จึงก้าวไปหาและยืนอยู่อย่างสงบ

“อ่านภาษามือไม่ได้ แต่ฟังที่ข้าเอ่ยเข้าใจ แสดงว่าข้ามองไม่ผิด เจ้าเพียงแต่พูดไม่ได้เท่านั้น”

เมื่อได้ยินโจวจื่อเว่ยกล่าวหัวใจของหญิงสาวก็เหมือนหล่นไปอยู่ตรงปลายเท้า

“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร”

เขาถามและยื่นกระดาษและพู่กันให้อวิ๋นมู่หลัน แต่หญิงสาวทำได้เพียงยืนนิ่ง ๆ พร้อมเก็บความตื่นตระหนกอย่างที่สุด

“ข้ารู้จักกับเจ้าเมืองซ่ง ใต้เท้าอวิ๋นมีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือเสี่ยวม่าน แต่ตัวเจ้าข้าไม่เคยพบและไม่เคยได้ยินใต้เท้าอวิ๋นเอ่ยถึงมาก่อน”

โจวจื่อเว่ยสมกับเป็นกุนซือผู้รอบรู้ ทว่าอวิ๋นหานก็ไม่ได้เอ่ยถึงลูกสาวที่เกิดจากอนุคนนี้ สาเหตุคือมารดาอวิ๋นมู่หลันเป็นเพียงหญิงในคณะละครแสดงข้างถนน ทั้งคู่ได้เสียกันในคืนที่ใต้เท้าหานไปเชื่อมสัมพันธ์กับต่างเมือง และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูกสาวคนที่หกมาก่อน กระทั่งผ่านไปหลายปี อวิ๋นมู่หลันถือจดหมายฉบับหนึ่งของมารดาเพื่อไปขอพบกับอวิ๋นหาน

ดังนั้นหญิงสาวผู้นี้หากกล่าวไปฐานะยังเทียบไม่ได้เลยกับลูกของอนุหรือลูกบ่าวในจวนท่านเจ้าเมือง

แต่อวิ๋นหานเป็นคนมีจิตใจเมตตา เขารับนางไว้พร้อมดูแลอย่างดี และฮูหยินใหญ่เป็นคนที่เอ็นดูผู้อื่นเสมอ ดังนั้นอวิ๋นมู่หลันจึงไม่ได้มีชะตาชีวิตที่น่าเวทนาในจวนท่านเจ้าเมือง ผิดแต่นางกลับถูกพี่รองคอยกลั่นแกล้งเสมอ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมนาง

“ไร้ชื่อไร้นาม เยี่ยงนั้นหรือ”

โจวจื่อเว่ยเอ่ยแล้วพิศสตรีที่ยืนก้มหน้านิ่ง ๆ ราวกับแสร้งทำตัวเป็นอากาศธาตุ

“ข้าจะเขียนจดหมายถึงเจ้าเมืองซ่ง และส่งตัวเจ้ากลับดีหรือ ไม่!”

อวิ๋นมู่หลันได้ยินแล้วจึงส่ายหน้าเร็วแรง หากนางกลับจวนยามนี้ เกรงว่าอาจมีภัยต่อบิดาและคนอื่น ซ้ำร้ายนางรู้เห็นหลายสิ่งพี่รองกับชายชั่วหลวนคุนวางแผนทำเรื่องร้ายแรงไว้ ไฉนพวกเขาจะปล่อยให้นางมีชีวิตรอด

“เอาละ... อย่างที่แม่ทัพกวนกล่าว หากอยากมีชีวิตอยู่ในค่าย­นี้เจ้าต้องทำงาน และหญิงใบ้เช่นเจ้า ทำสิ่งใดได้บ้าง”

หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนแสร้งทำมือทำไม้บอกกับอีกฝ่าย

“ฝนหมึกรึ และชงชา และ... ปรุงอาหาร”

การทำมือเพื่อสื่อสารของนางไม่ได้เรื่อง แต่โจวจื่อเว่ยรอบรู้ทั้งยังเปี่ยมด้วยทักษะ เมื่อเขามองสิ่งใดย่อมตีความได้อย่างถูกต้องถึงเจ็ดส่วน

เข้าวันที่สามแล้วที่อวิ๋นมู่หลันอยู่รับใช้โจวจื่อเว่ย อีกฝ่ายเป็นคนเรียบง่ายไม่ได้ต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ แม้แต่เสื้อผ้าเขานางก็ไม่ได้แตะต้อง การใช้ชีวิตอยู่ที่ค่ายจึงเหมือนอยู่ไปวัน ๆ ทว่าด้วยเป็นคนชอบเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อวิ๋นมู่หลันจึงเข้าไปขลุกในโรงครัวที่ปรุงอาหารของเหล่าแม่ทัพและสำหรับโจวจื่อเว่ย

“นางใบ้มีลิ้นที่ดีเยี่ยมและยังแกะสลักผักได้ดี การใช้มีดของนางยิ่งน่าอัศจรรย์ มีดเรียวเล็กเพียงนั้นแต่เหตุใดหั่นผักได้ละเอียดนัก”

“ดูนางทำหน้าสิ คงคิดว่าเราชม” คนงานบางคนไม่ชอบขี้หน้าหญิงสาว เพราะถึงจะมีความอัปลักษณ์ให้เห็นชัดเจน แต่ดวงตากลับหวานซึ้ง จมูกเชิด ริมฝีปากอวบอิ่ม ทั้งรูปร่างก็บอบบางชวนให้ทะนุถนอม

ชายหัวหน้าพ่อครัวโบกมือไปมา เขาไม่อยากให้คนงานต้องขัดแย้งกัน อีกทั้งมีใจเมตตาอวิ๋นมู่หลันเพราะนางช่วยงานเขาได้ดีกว่าพวกที่อยู่กับเขามาหลายปีเสียอีก

“ยังไงก็สงสารนางเถอะ หรือส่งไปหลังค่ายให้เป็นคณิกาก็ยากนักที่จะมีใครอยากนอนด้วย ใบหน้าอัปมงคลอยู่สามส่วนทีเดียว”

ชายเฒ่าอีกคนว่าและพิศอวิ๋นมู่หลันอย่างสนใจ

“ก็แค่ไฝดำ ที่ใหญ่ไปสักหน่อย”

“ไฝที่ไหนกัน ดูให้ดี ๆ สิ นั่นมัน ‘โลหิตทมิฬ’ ต่างหาก ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่า หากไม่ได้รับการรักษา มันจะขยายใหญ่จนเต็มตัวภายในเวลาไม่ถึงปี!” เสียงของทหารอีกคนกล่าวก่อนชะโงกหน้าเข้าใกล้ ๆ อวิ๋นมู่หลันจนนางต้องถอยห่างเขา

“เหลวไหล เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใด”

“นานแล้ว ตั้งแต่ข้าจำความได้กระมัง โรคนี้น่ากลัวยิ่งนัก” นาย ทหารคนเดิมเสริมต่อ เขาเคยอยู่ทางภาคใต้และรู้เรื่องลึกลับและไสยเวทย์ของชาวเผ่าต่าง ๆ

อวิ๋นมู่หลันฟังสิ่งที่คนงานโรงครัวเอ่ยแล้วนางก็ครั่นคร้ามใจ แต่ยังแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแต่ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง และคอยช่วยงานสารพัดอย่าง แม้จะเหนื่อยจนเหงื่อท่วมร่างแต่นางอิ่มท้อง อีกทั้งช่วยให้การอยู่ที่นี่ไม่เงียบเหงาเกินไป

“นี่พวกเจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้แม่ทัพกวนกำลังไล่ต้อนพวกคนเถื่อนที่อยู่กำแพงเมืองทางทิศตะวันตกให้กลับเข้าป่า พวกนั้นอำมหิตมาก แต่ยังสู้แม่ทัพกวนของพวกเราไม่ได้ นายทหารบอกว่าแม่ทัพกวนคนเดียวรับมือศัตรูได้คราวละครึ่งร้อย”

ชายสูงวัยเอ่ยอย่างชื่นชมเทพสงครามกวนเฉินหลาง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป